แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เพิ่งจะปิดดีลวิลเฟรด โบนี กองหน้าร่างยักษ์มาจากสวอนซี ซิตี้ เมื่อเดือนก่อนด้วยค่าตัวราว 28 ล้านปอนด์ และทำให้เขาเป็นหนึ่่งในผู้เล่นที่ย้ายไปร่วมทีมระหว่างสโมสรในพรีเมียร์ลีกที่มีค่าตัวแพงที่สุด
ทว่า โบนี่ ไม่ใช่ผู้เล่นที่มีค่าตัวแพงที่สุด แล้วใครกันบ้างที่ติดท็อปเท็นนักเตะที่มีค่าตัวแพงที่สุดในการย้ายทีมระหว่างสโมสร ลองมารับชมกัน
1. เฟร์นานโด ตอร์เรส ( ลิเวอร์พูล ไป เชลซี ค่าตัว 50 ล้านปอนด์ )
Read More
ทว่า โบนี่ ไม่ใช่ผู้เล่นที่มีค่าตัวแพงที่สุด แล้วใครกันบ้างที่ติดท็อปเท็นนักเตะที่มีค่าตัวแพงที่สุดในการย้ายทีมระหว่างสโมสร ลองมารับชมกัน
1. เฟร์นานโด ตอร์เรส ( ลิเวอร์พูล ไป เชลซี ค่าตัว 50 ล้านปอนด์ )
กองหน้าชาวสแปนิชเป็นผู้เล่นที่ซัลโวได้ 50 ประตูเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสรลิเวอร์พลู ตอร์เรส จัดไป 81 ตุงจาก 142 เกม ในสีเสื้อของ " หงส์แดง "
แต่เขาไม่เคยเรียกฟอร์มที่ยอดเยี่ยมหลังจากถูกโรมัน อบราโมวิช กระชากตัวมาอยู่ในถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ด้วยค่าตัวที่แพงที่สุดเมื่อปี 2011 ทว่าเขากลับทำประตูได้น้อยลงอย่างน่าใจหายหลังทำได้เพียง 20 ประตูจาก 110 ในลีก
ก่อนที่จะโดนปล่อยให้เอซี มิลาน ยืมใช้งานเมื่อเดือนสิงหาคม 2014 และเซ็นสัญญาถาวรในเดือนถัดไป ก่อนจะย้ายกลับไปอยู่กับต้นสังกัดแรกอย่างแอตเลติโก้ มาดริด ด้วยสัญญายืมตัว
2. ฆวน มาต้า ( เชลซี ไป แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ค่าตัว 37.1 ล้านปอนด์ )
ตามรายงานบางส่วนเปิดเผยว่าคาร์ลอส เตเบซ ย้ายจากแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไปร่วมทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้ด้วยค่าตัว 47 ล้านปอนด์ ( แต่ซิตี้ ยืนยันว่าพวกเขาจ่ายเงินเพียงแค่ 25 ล้านปอนด์ ) และทำให้ มาต้า กลายเป็นผู้เล่นอันดับที่สองในการย้ายทีม
กองกลางวัย 26 ปีพิสูจน์ให้เห็นถึงฝีเท้าที่ยอดเยี่ยมหลังจากย้ายมาอยู่กับ " สิงห์บลู " ด้วยค่าตัว 23.5 ล้านปอนด์เมื่อเดือนสิงหาคมปี 2011 พร้อมกับเป็นกำลงสำคัญให้ทีมคว้าถ้วยยูฟ่า แชมป์เปี้ยนลีกสมัยแรกของสโมสร และถูกเสนอชื่อให้คว้ารางวัลผู้เล่นแห่งปีของเชลซี 2 ครั้ง
ทว่าการมาของโชเซ่ มูรินโญ่ทำให้ชีวิตของเขาต้องพลิกผันจากตัวหลักก็กลายเป็นตัวสำรอง จนทำให้ มาต้า ตัดสินใจอำลาทีมโยกไปหาความท้าทายใหม่ในถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ด
3. แอนดี้ แคร์โรลล์ ( นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ไป ลิเวอร์พูล ค่าตัว 35 ล้านปอนด์ )
แคร์โรลล์ ถูกลิเวอร์พูลดึงตัวมาเพื่อเป็นตัวแทนของ ตอร์เรส และการย้ายทีมครั้งนี้ทำให้เขากลายเป็นผู้เล่นอังกฤษที่มีค่าตัวแพงที่สุด แต่โอกาสลงสนามของเขากลับถูกจำกัดลง และยิงไปแค่ 11 ลูกจาก 58 เกม
หลังจากการอำลาทีมของเคนนี่ ดัลกลิช และเป็นสิ่งที่ชัดเจนว่าเขาไม่ดีพอในแผนการทำทีมของเบรนแดน ร็อดเจอร์ส ก่อนที่จะตัดสินใจเซ็นสัญญากับเวสต์แฮม ยูไนเต็ด แบบยืมตัวเมื่อเดือนสิงหาคมปี 2012
และในซัมเมอร์ถัดมาดาวยิงวัย 26 ปีก็เลือกเซ็นสัญญาค้าแข้งในถิ่นอัพตันพาร์ค ด้วยค่าตัว 15 ล้านปอนด์ และในฤดูกาลนี้เพิ่งจะยิงให้ทีมไป 5 ประตูจาก 13 เกมในลีก
4. ดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟ ( ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ไป แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ค่าตัว 30.75 ล้านปอนด์ )
เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เป็นคนจัดการกองหน้าอารมณศิลปินมาวาดลวดลายในโรงละคร เมื่อปี 2008 เบอร์บาตอฟ ทำผลงานได้โดดเด่นสมัยอยู่กับท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์
เบอร์บาตอฟ ผงาดคว้ารางวัลรองเท้าทองคำหรือดาวซัลโวสูงสุดของพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2010-2011 หลังยิงไป 21 ประตู แต่เขาก็ถูกปล่อยตัวให้กับฟูแล่มในราคา 5 ล้านปอนด์
5. ริโอ เฟอร์ดินานด์ ( ลีดส์ ยูไนเต็ด ไป แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ค่าตัว 30 ล้านปอนด์ )
ในเวลานั้นปราการหลังชาวอังกฤษกลายเป็นผู้เล่นที่มีค่าตัวแพงที่สุดหลังจากย้ายมาอยู่กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ด้วยค่าตัว 30 ล้านปอนด์หลังจากโชว์ฟอร์มแจ๋มในการแข่งขันฟุตบอลโลก 2002
การย้ายมาอยู่กับยูไนเต็ดทำให้ เฟอร์ดินานด์ ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามด้วยการกวาดแชมป์พรีเมียร์ไป 6 สมัย รวมถึงถ้วยลีกคัพ และยูฟ่า แชมป์เปี้ยนลีกอีกสมัย พร้อมกับกับทำสถิติลงเล่นไปทั้งสิ้น 453 เกม ก่อนเลือกย้ายไปอยู่กับคิวพีอาร์ แบบไร้ค่าตัวเมื่อซัมเมอร์ที่ผ่านมา
5.ลุค ชอว์ ( เซาแธมป์ตัน ไป แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ค่าตัว 30 ล้านปอนด์ )
หลังจากโชว์ฟอร์มได้โดดเด่นในถิ่นเซนต์เมรี่ ชอว์ ก็กลายเป็นดาวรุ่งที่มีค่าตัวแพงที่สุดในประวัติศาสตร์นักเตะอังกกฤษ เมื่อเขาตัดสินใจเซ็นสัญญากับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เมื่อปี 2014
แบ็คซ้ายวัย 19 ขวบมีฤดูกาลที่ยอดเยี่ยมกับเซาแธมป์ตันเมื่อปีก่อน พร้อมกับถูกรอยรอย ฮอดจ์สัน เรียกตัวติดทีมชาติอังกฤษ ลงเล่นในฟุตบอลโลกที่ประเทศบราซิล
ทว่าปัญหาอาการบาดเจ็บทำให้ช่วงออกสตาร์ทซีซั่น 2014-15 ของเขามีปัญหาเล็กน้อย หลังไม่ค่อยได้ลงสนาม แต่ในตอนนี้เขาได้ขยับขึ้นมาเป็นกำลังหลักมากขึ้นเรื่อยๆ
7. โรเมลู ลูกากู ( เชลซี ไป เอฟเวอร์ตัน ค่าตัว 28 ล้านปอนด์ )
กองหน้าทีมชาติเบลเยียมได้ออกสตาร์ทเพียงแค่ครั้งเดียวกับเชลซี หลังย้ายมาจากอันเดอร์เลชท์ เมื่อปี 2011 ด้วยค่าตัว 18 ล้านปอนด์ แต่เขามีฟอร์มที่ยอดเยี่ยมในการย้ายทีมแบบยืมตัวกับเวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน ( 2012-13 ) และเอฟเวอร์ตัน ( 2013-14 ) ซึ่งเขายิงรวมกันได้ถึง 33 ประตูจาก 71 เกม แต่ไม่ได้อยู่ในแผนการทำทีมของโชเซ่ มูรินโญ่
และเอฟเวอร์ตัน ก็จัดการดึงตัวเขามาอยู่ในถิ่นกูดิสัน พาร์ค แบบถาวรเมื่อซัมเมอร์ที่ผ่านมา แต่ ลูกากู กลับไม่สามารถแสดงฝีเท้าเหมือนที่เคยเล่นแบบยืมตัวได้หลังจากเขาเพิ่งทำไป 8 ประตูพรีเมียร์ลีก
7. วิลเฟรด โบนี่ ( สวอนซี ซิตี้ ไป แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 28 ล้านปอนด์ มกราคม 2015 )
ร่ายเพลงแข้งกับสปาร์ตา ปราก และวิเทสส์ อาร์เนม แต่สวอนซี เชื่อมั่นในฝีเท้ายอมควักเงิน 12 ล้านปอนด์ดึงตัวมาล่าตาข่ายในถิ่นลิเบอร์ตีสเตเดียม เมื่อซัมเมอร์ปี 2013 แถมยังปรับตัวเข้ากับสไตล์การเล่นในพรีเมียร์ลีกได้อย่างรวดเร็ว
โบนี่ ซัด 34 ประตูจากการลงสนาม 70 นัดในการลงเล่นให้กับ " หงส์ขาว " เล่นเป็นผู้เล่นที่ทำประตูสูงสุดของพรีเมียร์ลีกหากนับเฉพาะปี 2014 ก่อนจะย้ายมาร่วมทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้
9. มารูยาน เฟลไลนี่ ( เอฟเวอร์ตัน ไป แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 27.5 ล้านปอนด์ กันยายน 2013 )
ย้ายมาจากลีกบ้านเกิดมาอยู่ในถิ่นกูดิสันพาร์ก พร้อมกับมี 6 ฤดูกาลที่น่าประทับใจกับเอฟเวอร์ตัน ก่อนที่จะตัดสินใจย้ายตามลูกพี่อย่างเดวิด มอยส์ มาเล่นให้กับยูไนเต็ด
เฟลไลนี่ ทำไป 11 ประตูในตำแหน่งกองกลางตอนเล่นให้กับยักษ์ใหญ่จากลุ้นน้ำเมอร์ซี่ย์ในฤดูกาลสุดท้าย แต่ทว่ากับยูไนเต็ด เขาแทบจะมองไม่เห็นฟอร์มเก่าของตัว และส่วนใหญ่ต้องรักษาอาการบาดเจ็บนานกว่าลงสนามสะอีก
การมาของหลุยส์ ฟาน กัล ก็ไม่สามารถทำให้ผลงานของเขาดีขึ้น แม้ว่าโอกาสลงสนามจะเพิ่มขึ้นก็ตาม
10. เจมส์ มิลเนอร์ ( แอสตัน วิลล่า ไป แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 26 ล้านปอนด์ สิงหาคม 2010 )
กองกลางทีมชาติอังกฤษย้ายมาร่วมทัพแมนเชสเตอร์ ซิตี้เมื่อปี 2010 หลังการเข้าเทคเทคโอเวอร์จากกลุ่มทุนอาหรับ และกลายเป็นผู้เล่นที่มีค่าตัวแพงที่สุดของสโมสรเมื่อสองปีที่แล้ว
มิลเนอร์ แสดงให้เห็นถึงความคุ้มค่ากับการลงทุนดึงตัวเขามาด้วยการเป็นกำลังหลักของทีม พร้อมกับช่วย " เรือใบ " คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก และเอฟเอ คัพอย่างละ 2 สมัย